
… เสรีภาพเป็นเนื้อดินเดียว อากาศ และปุ๋ย ที่จะทำให้พฤกษชาติแห่งความคิดเจริญเติบโตขึ้นได้ และเมื่อความคิดนำไปสู่อุดมคติ อุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลในสังคมสามารถใช้ความคิดได้อย่างเสรี ปราศจากพันธนาการของจารีตประเพณี หรืออีกนัยหนึ่งเราต้องสนับสนุนให้มนุษย์ทุกคนใช้ความคิดอย่างมีเสรีภาพ ชนิดที่ไม่ต้องพึงหวาดหวั่นว่าจะเป็นความคิดนอกลู่นอกทาง นั่นแหละจึงจะเป็นการสนับสนุนอุดมคติให้ถือกำเนิดได้ แม่น้ำลำห้วยยังเปลี่ยนแนวเดิมได้ สมองมนุษย์อันประเสริฐจะแหวกแนวบ้างมิได้หรือ ในเมื่อไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม… ป๋วย อึ้งภากรณ์
จากคำกล่าวของท่านอาจารย์ป๋วยนี้ ผมกลับมีความคิดเพิ่มเติมว่า ความจริงแท้ 2 ประการที่ปรากฏอยู่และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ได้แก่ 1.การคิดได้อย่างเสรี มีอยู่ในทุกที่ทุกโอกาส ไม่มีใครมาบังคับให้เราคิดได้ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่จะมาก้าวก่าย บังคับ หรือแม้แต่ตรวจสอบความถูกต้อง ความมีจริยธรรมทางความคิดของเราได้ เราจะข่มขืนใครทางความคิดก็ย่อมได้ แม้ในระบบเผด็จการก็ไม่สามารถมาเอาผิดอะไรเราได้ ตราบเท่าที่เราคิด แต่ไม่มีการกระทำใดๆที่เป็นที่ต้องห้ามปรากฏออกมา ผมกำลังจะบอกว่า ความคิดมีคุณลักษณะของความเป็นเสรีภาพในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่การที่จะมีผู้ใดสามารถ (มีศักยภาพ) คิดโดยปราศจากพันธนาการของจารีตประเพณีนั้น เป็นเรื่องยากมาก นี่ยังไม่ต้องนับว่ามีความกล้าที่จะคิด หรือคิดมากเสียหน่อยเพื่อให้ฉุคิดได้บ้าง จะมีสักกี่คนที่เฉลียวคิดได้ว่าการที่มนุษย์เรากินอาหารปรุงสุก เป็นเรื่องที่ผิดปกติ (ยกตัวอย่าง) 2.ความคิดก็คือความคิด การกระทำก็คือการกระทำ ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องสัมพันธ์กัน แบบนี้จะได้หรือไม่ หากเราหิวข้าวและคิดถึงอาหารจานโปรด แต่เราก็มีการกระทำด้วยการไปดูภาพยนตร์เสีย ถ้าความเป็นเหตุเป็นผลที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับการกระทำถูกทลายลง เช่นนี้แล้วความนอกลู่นอกทางก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเส้นทางนั้นถูกตัดขาดเสียแล้ว หากเปรียบกับแม่น้ำลำห้วย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาพิจารณาว่าแนวเส้นทางเป็นเช่นไร กิเลสว่าอยากอย่าง แต่เราจะทำอีกอย่างที่ไม่อยาก เจ้ากิเลสเอ๋ย เจ้าช่างอ่อนหัดยิ่งนัก