เรื่องราวของการมีชีวิต ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่ ชอบหรือไม่ ในที่นี้ขอเน้นที่ความครอบคลุมแนวคิดที่เราได้เคยรับรู้กันมาแบบกว้างๆ กันเสียก่อน เรื่องราวที่ว่านี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นสามช่วง ช่วงแรก เมื่อเราอยู่ระหว่างภพ (Between-Life state) คนเราจะเลือกช่วงเวลาที่จะเกิดมา ใช่แล้วครับเราเป็นคนเลือกเวลาเกิดตกฟากที่เราพอใจตามบุญที่เรามีด้วยตัวเองจริงๆ ดังนั้น ที่กล่าวกันว่าชีวิตขึ้นอยู่กับชะตาฟ้า ชะตาดิน ที่จริงแล้วทั้งสองสิ่งหรือที่เรียกว่าชะตาลิขิต (Destiny) เราคือผู้กำหนดเองทั้งนั้น ต่างกันตรงที่ส่วนแรกเราจำไม่ได้ ส่วนหลังเรารับรู้ได้ตามเหตุการณ์ที่เผชิญ แต่ผลของการกระทำที่เรียกว่ากรรมซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่สองนี่เอง ที่จะเป็นตัวกำหนดขอบเขตให้เราสามารถเลือกเกิดจากส่วนแรกที่เป็นชะตาฟ้าได้ดีหรือร้ายเพียงใด จะว่าไปแล้ว กรรมหรือกรรมปัจจุบัน ก็คือการบริหารชะตาลิขิตซึ่งขึ้นอยู่กับเจตจำนงอิสระ (Freewill) ที่เราเลือกได้นั่นเอง
ในช่วงที่สองของชีวิตนี้ เราจะผ่านเหตุการณ์ เรื่องราว สถานการณ์ ทั้งดีทั้งร้ายต่างๆ ทั้งหมดนับเป็นประสบการณ์ (Experience) ของแต่ละคน อาจกล่าวได้ว่าประสบการณ์เป็นทั้งประวัติข้อมูลชีวิตหรือกรรมของเรา และเป็นทั้งหลักฐานสะท้อนหรือวัตถุดิบผลิตความสามารถ (Competency) ได้เช่นกัน แต่ในเบื้องหน้าที่เห็นกันอยู่เป็นภาพลักษณ์ที่สามารถสัมผัสถึงกันได้ จะเรียกว่าเป็นบุคลิกภาพ (Personality) อันเป็นผลพวงมาจากชะตาชีวิตบ้าง ประสบการณ์บ้าง สะท้อนให้เห็นลักษณะทางกายและอุปนิสัยของแต่ละคน ในทางกลับกัน การกระทำใดๆ ที่เป็นผลมาจากการแสดงออกด้วยบุคลิกภาพและความสามารถ การกระทำนั้นก็จะถูกสะสมการรับรู้ก่อให้เกิดเป็นประสบการณ์ควบคู่ไปกับการบันทึกเหตุการณ์ที่อยู่ในรูปของกรรมปัจจุบัน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่เราไม่อาจจำที่มาของชะตาลิขิตได้ แต่เราบริหารมันได้ตามใจเราปรารถนา การบริหารให้ได้ดี จำเป็นต้องทราบจุดแข็งกับจุดอ่อนให้ได้เสียก่อน จุดแข็งน่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีแต่ปางก่อนจนอาจกลายมาเป็นพรสวรรค์ในปางนี้ จุดอ่อนคงเป็นความผิดพลาดอันส่งผลให้เราต้องปรับปรุงแก้ไข ชดใช้สิ่งที่กระทำมา
สำหรับช่วงสุดท้าย ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ซึ่งประสบการณ์จะถูกแปลงสภาพไปเป็นอะไรบางอย่างส่งผ่านข้ามภพเดิมไปสู่ภพใหม่ ส่วนกรรมที่สั่งสมมานั้น ในด้านหนึ่งก็จะถูกใช้เป็นขอบเขตของการกำหนดชะตาลิขิตด้วยตัวเราเอง วนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป