ผมระลึกถึงคำสอนของผู้ใหญ่หลายท่านอยู่เสมอ ในทำนองที่ว่าจงอย่าเป็นน้ำเต็มแก้วบ้าง ให้เป็นน้ำครึ่งแก้วบ้าง ซึ่งเข้าใจดีว่าเป็นการสำรวมความอวดรู้ไปพร้อมกับการเตรียมเข้าสู่สภาวะพร้อมรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี แม้จะมีวันนี้ได้เพราะสิ่งนี้ ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะถูกต้องหรือใช้การได้ในทุกสภาวะการณ์หรือไม่ ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว เดินหน้าราวกับวิ่งอย่างไม่หายใจเช่นนี้ ปัจจัยสำเร็จที่ทำให้เราทันโลกอยู่ตลอดเวลา คงหนีไม่พ้น 1) การเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา 2) ความสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ แม่นยำในที่นี้ ผมหมายถึงเรารู้อย่างฟุ่มเฟือยคงไม่เหมาะ เพราะเวลาเรามีจำกัด จึงต้องแม่นในสิ่งที่ควรรู้หรือต้องรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ได้ 3) ความมั่นใจ ซึ่งจะต้องอยู่ในระดับที่สูงพอที่ช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ ไม้เว้นแม้กระทั่งการรู้เพื่อประยุกต์ต่อเนื่องไปข้างหน้า หลายครั้งเรารู้แค่รู้ แต่มักพลาดโอกาสรู้เพิ่มต่อเนื่องในขณะที่เพิ่งรู้ ความเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ใช้ได้อย่ายอดเยี่ยมกับบริบทในข้อแรก ข้อสองอาจสนับสนุนไม่ได้มากนัก และไม่ได้ช่วยอะไรเลยในบทริบทของข้อที่สาม

ในทางตรงกันข้าม การเป็นน้ำเต็มแก้ว สามารถช่วยบริบทในข้อสาม ทำให้คงระดับความมั่นใจเพราะอยู่ในสภาวะฉันรู้แล้ว ฉันรู้อยู่บ้าง หรือฉันก็อาจรู้ได้ในไม่ช้า พร้อมกับสนับสนุนบริบทในข้อสองด้วยการพุ่งเป้าที่การขยายขนาดของแก้วน้ำ ต่างจากเดิมที่น้ำไม่เต็มแก้วทั้งที่เดิมทีอาจเต็มอยู่แต่ต้องลดระดับน้ำเข้าสู่สภาวะพร้อมที่จะรู้เพิ่ม การขยายขนาดแก้วจะทำให้ปริมาตรความจุเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณน้ำยังคงเดิม พร้อมเติมน้ำได้อีกอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน การขยายแก้วนี้เปรียบได้กับการเสริมสมรรถนะของการเรียนรู้ได้อีก ไม่ใช่เพียงแค่การเอาความรู้เพิ่ม ซึ่งระดับความสำคัญผมว่ามันคนละชั้น (การรู้เพิ่มบางทีเปิด Google ยังง่ายกว่าขนขวายในรูปแบบเดิม) ทั้งนี้ ก็ไม่ขัดแย้งกับบริบทในข้อแรก เนื่องจากพื้นที่เติมน้ำมากขึ้นด้วยการขยายขนาดแก้วเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำเท่าเดิม ก็ยังคงให้เราพร้อมเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า น้ำเต็มแก้วกับความอ่อนน้อมถ่อมตน มันเป็นคนละเรื่อง บริหารจัดการได้โดยแยกขาดจากกัน และควรหมั่นขยายขนาดกับเติมน้ำให้เต็มแก้วอยู่ตลอดเวลา เติมอย่างเร็วเท่าที่จะเร็วได้ อย่างไม่ฝีนชะตาและเป็นภาระจนเกินไปนัก