มิติแห่งการอยู่อย่างผู้มีความสุข ประกอบไปด้วย ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ความเป็นมิตร (Friendship) และความดี (Goodness)
การแสดงความเป็นเจ้าของมากเกินไปก็เป็นทุกข์ การรู้สึกอยากเป็นเจ้าของในสิ่งที่ยังไม่ได้เป็นของเราก็เป็นทุกข์ ความเป็นเจ้าของลักษณะนี้ ไม่มีจะดีกว่า แต่การทำงานที่ต้องรับผิดชอบตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีแล้วจะดีกว่าไม่มี ก็ไม่จริงเสมอไป ควรมีควรแบกตามกำลัง ตามความจำเป็น แต่เมื่อรับเข้ามาแล้วก็ต้องแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของของงานนั้น ให้สำเร็จลุล่วง
การแสดงความเป็นมิตรกับคนรอบกาย แน่นอนว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่เราจะมีกำลังกายกำลังใจทำได้ตลอดเวลาหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนคนนั้นจะเป็นมิตรกับเราตอบหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน ในเมื่ออะไรก็ตามที่เข้าข่ายของการมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัด ก็ควรจัดลำดับความสำคัญเพื่อตอบสนองตามลำดับความจำเป็นนั้นเสีย ครอบครัวควรมาก่อน เพื่อนตายตามมาติดๆ ส่วนหัวหน้างานอาจจะมาห่างๆ ก็สุดแล้วแต่จะคิดกันไป การแสดงความเป็นมิตรกับสัตว์จะว่าไม่จำเป็นหากเทียบกับการมีให้แก่คน ก็ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไรนัก การแสดงความเป็นมิตรกับสิ่งของจะว่าไม่จำเป็นหากเทียบกับการมีให้แก่สิ่งมีชีวิต ก็ไม่น่าจะถูกต้องด้วยเช่นกัน … เกาคางแมวด้วยความรัก วางแก้น้ำอย่างพิถีพิถัน มันคุ้มค่ากับจิตใจเราที่พัฒนาขึ้นแน่นอน คุณว่าจริงไหม
ความดี ก็คือ ความดี คือ สิ่งดีๆ ที่ทั้งสามัญสำนึกและจิตสำนึกเราเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ความยากอยู่ตรงที่คนเราอยากทำดีแต่ที่จริงแล้วไม่ชอบทำ เพราะความดีมักจะอยู่คู่ความยากลำบาก ตรงข้ามกับความไม่ดี ที่มักอยู่ข้างความสะดวกสบาย แต่หากมองกันยาวๆ ผลของความดีและความไม่ดี จะตรงข้ามกับในช่วงสั้น กล่าวคือ ความดีส่งผลให้สบายในระยะยาว ความไม่ดีจะทำให้ลำบากในกาลต่อไป ว่าแล้วก็คือผลของกรรมนั่นเอง