เมื่อหลายปีก่อนผมได้มีโอกาสพาพ่อของผมไปสำรวจประเทศสิงคโปร์ หลังจากที่พ่อผมเคยไปครั้งสุดท้ายกับเรือสตาร์ครูซเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ไม่รู้ว่าพอถึงรุ่นลูก เศรษฐกิจมันแย่ลงหรืออย่างไร ลูกชายหน้าตาดีอย่าผมจึงพาพ่อเดินทางไปด้วย Low Cost Airline 555 ที่จริงแล้วผมคิดว่านั่งแค่ชั่วโมงเดียว จ่ายแพงทำไม เก็บเงินไปนั่งในร้านอาหารดีดี นอนโรงแรมดีดี จะคุ้มค่ากว่าไหม อันที่จริง (กำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของประโยค `ที่จริงแล้ว’) ถ้ามี Low cost ไปอเมริกาผมจะไปทันทีครับ 555
เรื่องของเรื่อง วันไหนจำไม่ได้ สองพ่อลูกเดินออกมาจากโรงแรม Victoria ใกล้กับ Singapore Management University เพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Bras Basah ระหว่างจะลงไปสถานี ผมก็คิดแว่บขึ้นมาจากภาพบันไดทางเดินที่อยู่ระหว่างบันไดเลื่อนขึ้นและลง แล้วก็บอกพ่อไปว่า เรามาเดินลงบันไดตรงกลางดีกว่า พ่อผมก็ทำหน้าสงสัยแล้วถามว่า ทำไมไม่ลงบันไดเลื่อน ผมตอบพลางหัวเราะว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เดินทางสายกลาง พ่อผมเงียบ จำได้ว่าเหมือนจะส่ายหัวด้วย
ผมมองภาพบันไดเดินเท้าตรงกลางเป็นทางสานกลางจริงจริง เพราะการที่มันอยู่ตรงกลาง เราจะเห็นคนที่เคลื่อนที่ไปทางเดียวกับเราและไปคนละทางกับเรา ไม่ว่าเราจะขึ้นหรือลงก็ตาม เราก็จะต้องเคลื่อนที่ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ต่างกับการลงด้วยบันไดเลื่อน การที่มันเคลื่อนที่อย่างอัตโนมัติ เปรียบได้กับการดำเนินชีวิตตามกระแสในปัจจุบัน ถ้าเราใจร้อน จึงเดินด้วยแรงของเราบวกไปด้วย ก็เเสมือนว่าเราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความสามารถกับเทคโนโลยีหรือเครื่องทุ่นแรง ให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จ ไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น แต่ความเสี่ยงจากการสะดุดล้มเพราะความเร็วก็มีเพิ่มมากขึ้นจริงไหม แล้วถ้าเราเดินในทางตรงข้ามกับทิศทางของบันไดเลื่อนหละ อันนี้เรียกว่า สวนกระแส ต้องออกแรงเยอะหน่อยเพื่อเอาชนะกระแสนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คนที่ใช้วิธีนี้มีอยู่น้อยราย จะเรียกว่าดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นคู่แข่งหรือเพื่อนร่วมทาง ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้อง (ซึ่งก็คือการที่เราเลือกแล้ว) เดินลงด้วยบันไดเลื่อนตามพ่อของผม เป็นที่น่าคิดว่าถ้าไม่ใช่พ่อแต่เป็นแค่คนผ่านทาง จะมีความน่าจะเป็นที่ผมจะเลือกเดินบันไดทางเดินสูงกว่านี้ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้อีกว่าคนผ่านทางอาจจะมองผมแปลกแปลกว่าทำไมไม่ลงบันไดเลื่อน เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลจากคนรอบข้าง คนที่มีผลต่อชีวิตจิตใจเรา สังคมรอบข้าง มีผลไม่น้อยต่อการตัดสินใจ.