ทุกวันนี้ กระบวนการผลิต การบริโภค รอบชีวิตประจำวันเรา มีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากมาย จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนเริ่มมองหาทางเลือกอะไรต่อมิอะไรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ‘สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน’ หรือ สปีรูลิน่า (Spirulina) ซึ่งเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดตัวท็อป จุดเด่นคือเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่มีกรดอะมิโนทุกชนิดที่ร่างกายผลิตไม่ได้และต้องการ ที่ใช้พื้นที่และทรัพยากรน้อยมากในการเพาะเลี้ยงเทียบกับโปรตีนที่ได้มาจากเนื้อสัตว์ แล้วยังมีธาตุสารอาหารอื่นๆ อีก แถมยังสามารถรีไซเคิลน้ำใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ดีงามประมาณว่านาซ่านำไปเป็นอาหารให้นักบินอวกาศ ยูเอ็นนำไปสอนและปลูกในโซนที่ขาดสารอาหาร เห็นอย่างนี้แล้ว น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกอนาคตที่ดูไม่เลวเลยทีเดียว

สไปรูลินาเป็นพืชขนาดจิ๋วมีโครงสร้างชีวิตง่ายๆ แค่เซลล์มาเรียงต่อกันเป็นเส้นสายเล็กๆ มองแทบไม่เห็น ผนังเซลล์ชั้นนอกไม่มีเซลลูโลสเหมือนพืชทั่วไปแต่จะเป็นสารพวกโพลีแซคคาไรด์ สไปรูลินาจึงมีลักษณะของอาหารที่ดีคือ กินง่าย ย่อยง่ายดูดซึมเร็ว มีกากน้อย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลาย มีโปรตีนสูงและมีโปรตีนคล้ายปลา มีไขมันไม่ถึง 10% แต่มีกรดไขมันที่สําคัญคือแกมมาไลโนลินิกสูง สไปรูลินาเป็นพืชแต่สะสมอาหารเป็นไกลโคเจนเหมือนสัตว์ ขณะที่มีน้ําตาลแรมโนสเหมือนพืชบางชนิด เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจึงนําพลังงานไปใช้ได้เร็ว มีวิตามินหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี และอื่นๆ โดยมีวิตามินบี 12 สูงกว่าในเนื้อวัวและมีโปรไวตามินเอสูงกว่าแครอทเป็นสิบเท่า นอกจากนี้ยังมีเกลือแร่หลายชนิด มีเหล็กสูง มีโปตัสเซียม มีฟอสฟอรัส มีแคลเซียม มีคลอโรฟิลล์ที่ใช้ได้เร็วกว่าในพืชผักทั่วไป ซึ่งช่วยในเรื่องรักษาแผลและดับกลิ่น มีเมลาโทนินช่วยการนอนหลับ มีเซโรโทนินช่วยบํารุงสมอง มีไฟโคไซยานินช่วยต้านพิษโลหะหนัก และยังมีสารต้านจุลชีพที่เป็นเชื้อโรคทั้งไวรัส แบคทีเรีย และรา อีกด้วย

การเพาะเลี้ยงสปีรูลิน่า

  1. เลี้ยงระยะยาว – เมื่อได้สาหร่ายมาแล้ว แบ่งส่วนนึงเก็บไว้ในที่ที่มีการปนเปื้อนได้ยาก เช่น ขวดแก้วหรือฟลาสก์แก้วที่ปิดฝาสนิท สำหรับเป็นหัวเชื้อสัก 10 % โดยควรให้ได้รับแสงน้อยๆ หรือได้รับแสงเพียงบางช่วงเวลา หรือเพาะเลี้ยงในที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อให้โตช้าๆ ไม่ให้ปุ๋ยหรืออาหารหมดเร็ว และลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน
  2. เลี้ยงระยะสั้น – ส่วนนึงไปเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ เน้นให้สาหร่ายโตเร็ว มีปริมาณมาก โดยเลือกใช้อาหารที่เหมาะสม ให้แสงเต็มที่ ควบคุมอุณหภูมิให้ใกล้เคียงกับระดับที่สาหร่ายต้องการมากที่สุด และมีระบบกวนน้ำหรือหมุนเวียนน้ำ เพื่อให้สาหร่ายหมุนเวียนสัมผัสกับอาหารและแสงแดดได้อย่างทั่วถึง สาหร่ายจะโตและใช้อาหารหมดได้อย่างรวดเร็ว
  3. การเตรียมปุ๋ย – ใส่น้ำประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของปริมาตรที่ต้องการเลี้ยงทั้งหมด ชั่งสารเคมีตามน้ำหนักที่ระบุในสูตรปุ๋ย จากนั้นใส่สารเคมีทีละชนิด คนจนละลายแล้วค่อยใส่ชนิดต่อไป โดยเริ่มด้วยสารเคมีที่มีปริมาณมากที่สุดก่อนเพื่อให้ละลายได้ง่าย จากนั้นใส่หัวเชื้อสาหร่ายลงไปประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำทั้งหมด หรือจนเห็นน้ำมีสีเขียวอ่อนๆ แล้วจึงเติมน้ำเปล่าลงให้ครบ 100%
  4. การเพาะเลี้ยง – ติดตั้งระบบให้อากาศให้น้ำหมุนเวียน สีของสาหร่ายในภาชนะเพาะเลี้ยงจะค่อยๆ เข้มขึ้นตามระยะเวลาการเลี้ยง เมื่อเพาะเลี้ยงประมาณ 10-14 วัน สาหร่ายจะโตเต็มที่
  5. การเก็บผลผลิต – หยุดให้อากาศประมาณ 1 ชั่วโมง สาหร่ายที่แข็งแรงจะลอยขึ้นด้านบน สาหร่ายที่อ่อนแอหรือตายจะตกตะกอนลงด้านล่างภาชนะเพาะเลี้ยง เก็บเฉพาะสาหร่ายที่แยกชั้นด้านบน จากนั้นนำน้ำส่วนบนที่มีสาหร่ายที่แข็งแรงเทผ่านผ้ากรอง โดยใช้ผ้ากรองขนาดตาประมาณ 30-45 ไมครอน หรือใช้ผ้าซิลค์สกรีน ตักน้ำด้านบนเทผ่านผ้ากรอง สาหร่ายจะติดอยู่บนหน้ากรอง ส่วนน้ำที่ไหลลงสู่ด้านล่างสามารถนนำกลับไปเลี้ยงต่อได้ นำน้ำสะอาดเทผ่านสาหร่ายที่อยู่บนผ้ากรองเพื่อทำความสะอาดสิ่งปนเปื้อนหรือปุ๋ยที่อาจเหลือตกค้างอยู่ โดยปกติจะล้างด้วยน้ำสะอาดตามอัตราส่วน 1 : 1 ของเก็บสาหร่ายที่เก็บมา โดยน้ำที่ไหลผ่านมาใส หรือมีพีเอชเท่ากับน้ำก่อนล้าง แสดงว่าสาหร่ายสะอาดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีความเงา มันวาว

ตัวอย่างสูตรปุ๋ยหรืออาหาร (สารละลายสต๊อค) ประกอบด้วย

  • โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) 30 กรัมต่อลิตร
  • โซเดียมไนเตรท (NaNO3 ) 0.5 กรัมต่อลิตร
  • ไดโปแตสเซียมไฮโดรเจนฟอสเฟต (K2HPO4) 0.15 กรัมต่อลิตร
  • โปแตสเซียมซัลเฟต (K2SO4) 0.3 กรัมต่อลิตร
  • แมกนีเซียมซัลเฟต (MgSO4.7H2O) 0.06 กรัมต่อลิตร
  • โซเดียมคลอไรท์=เกลือแกง (NaCl) 0.3 กรัมต่อลิตร
  • แคลเซียมคลอไรท์ (CaCl2.2H2O) 0.012 กรัมต่อลิตร
  • เฟอรัสซัลเฟต (FeSO4.7H2O) 0.003 กรัมต่อลิตร
  • อีดีทีเอ (Na2EDTA.2H2O) 0.02